ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2519 ขณะนั้น ร้อยเอก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ในปัจจุบัน) ประจำการอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก ได้ทรงทราบข่าวว่า “บ้านหมากแข้ง” จังหวัดเลย ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ไม่เข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ถูกโจมตีอย่างหนักจนชาวบ้านบาดเจ็บและต้องอพยพหนีภัย
เมื่อทรงทราบเหตุการณ์ พระองค์มีรับสั่งกับแม่ทัพภาคที่ 3 ว่า
“ต้องไปแก้ไขเดี๋ยวนี้”
แม้จะได้รับการทัดทานว่าพื้นที่ยังเต็มไปด้วยอันตราย แต่พระองค์ก็มิได้ทรงรอช้า ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งถึงจุดหมาย กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้เปิดฉากยิงอย่างหนักจนไม่สามารถลงจอดได้ พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยกระโดดลงจากเครื่อง จากความสูงราว 2 เมตร ทรงวิ่งฝ่ากระสุนเข้าที่กำบัง ก่อนจะบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง สั่งการให้ยิงโต้ตอบและใช้ปืนใหญ่ถล่มฝ่ายตรงข้ามอย่างแม่นยำ
เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พระองค์ยังทรงนำกำลังชุดลาดตระเวนออกตรวจพื้นที่ด้วยพระองค์เอง เสียงปืนยังดังระงมรอบด้าน แต่ในที่สุดฝ่ายก่อการร้ายต้องล่าถอยไป พระองค์จึงเสด็จเข้าถึงหมู่บ้าน ปลอบขวัญชาวบ้าน ครู และนักเรียน ให้มีกำลังใจกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ
คืนนั้น พระองค์มิได้ทรงเลือกที่พักสะดวกสบาย แต่ประทับแรมใน “หลุมบุคคล” เช่นเดียวกับทหารกล้า ใช้เพียงเป้ทหารหนุนพระเศียร ไม่มีผ้าห่มหรือเครื่องกันหนาว และในยามรุ่งสางของวันใหม่ เมื่อถึงตีห้า พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นออกลาดตระเวนร่วมกับทหารเช่นเคย
เหตุการณ์ในวันนั้น ได้กลายเป็นตำนานแห่งความกล้าหาญที่ชาวบ้านหมากแข้งยังคงจดจำตราบจนวันนี้ และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิด “อุทยานเทิดพระเกียรติบ้านหมากแข้ง” เพื่อรำลึกถึงพระวิริยะอุตสาหะ และหัวใจทหารของพระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและความกล้าหาญ